กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางครีมทาผิวขาว ที่ทำให้ผิวขาว ได้แก่ สารประกอบของปรอท (ammoniated mercury, phenyl mercuric salt, mercuric chloride) ไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ ด้วยเหตุผลด้านความเป็นพิษระยะสั้น/ระยะยาวและการก่อระคายเคืองในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
ปรอทแอมโมเนีย (ammoniated mercury) จัดเป็นสารกลุ่มแรก ๆ ที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวขาว เนื่องจาก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ลดการสร้างสารสีเมลานิน นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง
ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ตับ/ไตอักเสบ โลหิตจาง
ทางเดินปัสสาวะอักเสบมีพิษต่อระบบประสาทและเยื่อบุทางหายใจทำลายสีของผิว
หนังและเล็บมือ ทำให้ผิวบางลง เกิดการแพ้ หรือเป็นแผลเป็น สารนี้มีค่า LD
๘๖ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทั้งนี้
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศห้ามใช้สารประกอบของปรอทเป็นส่วนผสมในเครื่อง
สำอาง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ และเป็นสารห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
โดยกำหนดชื่อสารห้ามใช้ คือ ปรอทและสารประกอบของปรอท
ไฮโดรควิโนน เป็นสารที่เคยได้รับความนิยมใช้มากที่สุด มีสมบัติในการฟอกสีผิว (skin bleaching) ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ปัจจุบันห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เนื่องจาก พบว่า ก่อกลายพันธุ์ใน Salmonella และมีความเป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxicity) ทำให้เกิดการแพ้/ระคายเคืองต่อผิว และทำให้ผิวไวต่อแสง ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่เดิมเคยอนุญาตให้ใช้ในครีมแก้ฝ้าแต่ภายหลังพบว่า ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาว หน้าแดงหรือเกิดเป็นฝ้าถาวร (ochronosis) สารนี้มีความเป็นพิษโดยมีค่า LD
ในหนูทดลอง ๓๒๐
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็งในหนูตามกฎหมายสาร
ไฮโดรควิโนนจัดเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙
ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๓๕
แต่อนุญาตให้ใช้ในสูตรตำรับยาชนิดครีมที่ระดับความเข้มข้น ร้อยละ ๒-๔
กรดวิตามินเอ หรือกรดเรทิโนอิก (retinoic acid) เป็นสารที่ช่วยให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ จึงจัดเป็นสารทำให้ผิวหนังหลุดลอก (peeling agent) ทำให้สิวเสี้ยนและ
ผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดลอกออกได้โดยง่าย ช่วยให้ผิวดูผ่องใสนุ่มเนียน
เมื่อใช้ร่วมกับสารไฮโดรควิโนน
จะช่วยให้ไฮโดรควิโนนซึมเข้าสู่ผิวหนังและออกฤทธิ์ได้มากกว่าปรกติ
ความเป็นพิษ คือ ทำให้หน้าแดงแสบร้อนรุนแรง เกิดการระคายเคือง อักเสบ
แพ้แสงง่าย เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เนื่องจาก มีสมบัติกำเนิดทารกวิรูป (teratogenesis) สารนี้มีค่า LD ในหนูทดลอง ๒,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยที่กรดเรทิโนอิกจัด
เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๓๒. อย่างไรก็ตาม สามารถใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในสูตรตำรับยาครีมสำหรับรักษาสิวที่ระดับความเข้มข้นร้อยละ ๐.๐๑-๐.๑ ทั้งนี้ การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น