วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

อาหารวัยรุ่น



วัยรุ่นนั้น เป็นวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา โดยจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ในวัยนี้ ร่างกายจะมีความต้องการสารอาหารและพลังงานค่อนข้างสูง จึงควรมีการบริโภคอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสม มิฉะนั้น จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ เช่น การเรียน การเล่นกีฬา การเจริญเติบโต และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บติดตามา ซึ่งรวมไปถึงโรคอ้วนที่กำลังพบว่า เป็นปัญหาในวัยรุ่นยุคปัจจุบันด้วย และที่สำคัญ คือ โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังที่เกิดขึ้นนั้น อาจส่งผลให้อายุเฉลี่ยของประชากรโลกลดน้อยลง ดังนั้น หากวัยรุ่นในวันนี้ต้องการที่จะเป็นผู้ที่มีชีวิตที่ยืนยาว ผิวขาวสวยสดใส มีน้ำมีนวล ร่างกายแข็งแรงได้ในอนาคต ก็สามารถเริ่มต้นหรือเริ่มการต่อต้านความชราได้ตั้งแต่บันนี้เป็นต้นไป หรือสามารถจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเรื่องการดูแลสุขภาพผิว สุขภาพกายนั้น ไม่มีคำว่า “เร็วหรือสายจนเกินไป”

ปัญหาหลักทางด้านโภชนาการในวัยรุ่นในปัจจุบันนั้น เกิดจากการขาดสารอาหารต่าง ๆ เช่น การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียจากโลหิตจาง การขาดธาตุไอโอดีน ขาดวิตามินเอ ขาดโปรตีน ทำให้ได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้ตัวเตี้ย ผอม ผิวไม่ขาวผ่อง ความฉลาดลดลง ส่วนในวัยรุ่นที่รับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัวมากเกินไปก็มีความเสี่ยงในการเกิดสิว รูขุมขนอุดตันและจะเกิดโรคอ้วน ที่ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขข้อ เก๊าต์ มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ชาย นิ่วในถุงน้ำดี อาการซึมเศร้า เป็นต้น


วันนี้ ขอแนะนำสัดส่วนอาหารสำหรับวัยรุ่น คือ ควรได้พลังงานจากโปรตีนร้อยละ 10-15 เทียบได้กับเนื้อสัตว์ 45-60 กรัมต่อวัน หรือ 2-3 ส่วนต่อวัน คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 45-65 และควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น กลุ่มแป้ง ข้าว ขนมปัง 8-12 ทัพพี ควรรับประทานผัก 2-4 ส่วนต่อวัน (4-6 ทัพพี) และรับประทานผลไม้เพื่อให้ร่างกายรับวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใย โดยควรรับประทานผลไม้สด 3-5 ส่วนต่อวัน นอกจากนี้ ร่างกายวัยรุ่นยังควรได้รับไขมันน้อยกว่าร้อยละ 30 และควรมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวต่อไขมันไม่อิ่มตัว ในสัดส่วน 1:1 น้ำตาล เกลือเล็กน้อย แคลเซียม 1200-1500 มิลลิกรัมต่อวัน และธาตุเหล็ก 12-15 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับธาตุเหล็กนั้น ควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจาก การได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปโดยที่ร่างกายไม่ได้รับอยู่ในภาวะขาด อาจะทำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ Prooxidant เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมชราเร็วขึ้นได้ ดังนั้น การรับประทานธาตุเหล็กจึงควรจะเสริมเมื่อร่างกายขาดเท่านั้น ซึ่งจะรู้ได้โดยการตรวจเช็คเลือดเพื่อหาระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ด้วยการตรวจระดับเฟอร์ริทินในเลือด ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไรนัก แต่หากไม่สะดวกในการตรวจ ดิฉันก็แนะนำว่า หากจะเสริมธาตุเหล็ก ควรเสริมพอประมาณตามที่ได้กล่าวมา
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
http://yanincosmeticbangkok.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น