“ฝ้า” ปัญหาโลกแตกของสาว ๆ ที่มีค่านิยมที่ต้องการให้หน้ามีผิวขาว ขาวใส ไร้จุดด่างดำ ไร้ฝ้า ไร้กระ กระนั้น ทางเลือกในการรักษาฝ้าจึงเป็นสิ่งที่เราน่าจะเรียนรู้กันสักนิด ดังนั้น ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า “ฝ้า” เกิดจากการที่ร่างกายมีเม็ดสีเมลานิน (melanin pigment) สะสมในผิวหนังมากผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ โดยผื่นนี้มักจะมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ซึ่งการเกิดฝ้ามักพบได้บ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน โดยมีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบที่บริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบนและคาง
จากผลการศึกษาพบว่า ฝ้ามีการแบ่งออกเป็น 3 ชนิด โดยชนิดแรก คือ ฝ้าที่เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณขอบเขตของผื่นจะเห็นชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษา เนื่องจาก เม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลำในผิวหนัง จึงง่ายต่อการกำจัด ชนิดที่สอง คือ ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะ
เป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้มขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจน เนื่องจาก
เม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก
ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา และชนิดที่สาม เป็นชนิดผสม คือ มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติ ทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการเกิดฝ้านั้น ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่า น่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม สำหรับแสงแดดที่มีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) นั้น รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เป็นฝ้ามากขึ้นในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่า ฮอร์โมนชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีผลทำให้เกิดฝ้า ซึ่งสังเกตพบว่า ฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร นอกจากนั้น การรับประทานยาบางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้น เช่น ยากันชัก Delantin ยาทางจิตเวช เช่น Largactil
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการเกิดฝ้านั้น ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่า น่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม สำหรับแสงแดดที่มีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) นั้น รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เป็นฝ้ามากขึ้นในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่า ฮอร์โมนชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีผลทำให้เกิดฝ้า ซึ่งสังเกตพบว่า ฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร นอกจากนั้น การรับประทานยาบางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้น เช่น ยากันชัก Delantin ยาทางจิตเวช เช่น Largactil
โดยในเบื้องต้นของกระบวนการรักษาฝ้าและกระนั้น สิ่งสำคัญ คือ จะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่ประสบปัญหาเสียก่อนว่า ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาฝ้าจึงมุ่งเน้นหลักสำคัญสองประการ คือ หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระ หรือ ฝ้าเป็น
มากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้น
ผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่น ๆ
ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น และที่สำคัญ คือ
ต้องหลีกเลี่ยงการตากแดด และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ในกรณีที่มีปัญหากระ หรือ ฝ้า ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 15 ถึง 30 หรือสูงกว่าขึ้นไป
ในกระบวนการรักษาฝ้าที่ใช้ในการรักษาที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้า ที่ส่งผลทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือ Alphahydroxy acid (AHA) และกรดวิตามินเอ เป็นต้น และกลุ่มที่สอง ได้แก่ ยาหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่
มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค
(Kojic acid) หรือเจลวิตามินซี หรือการรักษาด้วยเลเซอร์
ซึ่งแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
เริ่มมีการหันมาสนใจการรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติในปัจจุบันนี้กันมากขึ้น สำหรับสมุนไพรที่ช่วยในการรักษาฝ้านั้น ได้แก่
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น จากการศึกษา พบว่า เมล็ดองุ่นมีสารชื่อ OPC ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ใช้ลดเลือนฝ้า กระ และรอยด่างดำ โดยมีขนาดที่แนะนำให้รับประทานสำหรับการใช้รักษาฝ้า คือ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
ว่านหางจระเข้ ซึ่งพบว่า ในเนื้อว่านหางจระเข้มีสารที่ชื่อ อโลอิน (Aloin) ซึ่งช่วยในการทำให้เม็ดสีเมลานินเกาะกลุ่มกัน จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น
แครอท ซึ่งพบว่า แครอท มีสารที่ช่วยในการป้องกันแสงแดด และช่วยลดการเกิดการอักเสบได้ดี โดยมีสาร Umbelliferone (UMB) or 7-hydroxycoumarin และนอกจากนี้ แครอทยังมี Beta carotene ซึ่งเป็นสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมะนาวและมะขามเปียก จากการศึกษา พบว่า จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยในการผลัดผิวหนังชั้นบนค่อย ๆ ลอกออก ทำให้ฝ้าที่เกิดขึ้นจางลงได้
ชะเอมเทศ สำหรับชะเอมเทศนั้น มีสารช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และลดการสร้างสารอนุมูลอิสระ
ถั่วเหลือง มีคุณประโยชน์ในการยับยั้ง ลดการเสร้างเม็ดสีเมลานิน โดยมีสารไอโซฟลาโวน วิตามินอี และมีสารยับยั้งทริปซินและโปรตีเอส ซึ่งช่วยในการลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
ขมิ้นชันจากการศึกษา พบว่า ช่วยในการลดเม็ดสีเมลานินและมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ
มะหาด พบว่า มีสาร “ไทโรซิเนส” ที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ จะทำปฏิกิริยาในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน
มะขามป้อม พบว่า มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดด และยังมีสารช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินอีกด้วย
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากสมุนไพรที่ได้กล่าวมาแล้ว พบว่า
ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ตำลึง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ หอมหัวใหญ่
สมุนไพรจีนต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการรักษาฝ้าได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันสาเหตุของการเกิดฝ้า โดยการป้องกันผิวจากแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น