วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ผิวขาวด้วย “กลูต้าไทโอน” มีอันตรายถึงช็อกคาเข็มจริงหรือ!!!

ผิวขาวด้วย “กลูต้าไทโอน” มีอันตรายถึงช็อกคาเข็มจริงหรือ!!!

ในห้วงหลายปีที่ผ่าน หลายคนคงเคยได้ยินข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เกี่ยวกับการฉีดสารชนิดหนึ่งในวงการธุรกิจความงาม เพื่อเสริมความงาม เพื่อให้ผิวขาว แก้ปัญหาฝ้า จุดด่างดำว่า ฉีดแล้วสามารถทำให้ช็อกตายคาเข็ม และก่อให้เกิดมะเร็งได้ในบางราย จนเป็นที่ตกอกตกใจของบรรดาผู้ที่รักสวยรักงาม อยากจะมีผิวขาวกันเป็นอย่างมาก สารที่ว่านี้ คือ “กลูต้าไทโอน” ซึ่งเป็นสารที่มีการใช้กันมานานกว่า 30 ปีแล้ว และใช้กันเป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น แต่ด้วยเหตุใดกลับกลายมาเป็น “ยาพิษ” ในวงการ “ผิวขาว” ในประเทศไทย จึงถือโอกาสนี้ เล่าเรื่องนี้ เพื่อเป็นความรู้ ความเข้าใจ กับความเป็นมาของกลูต้าไทโอน ว่าทำไมจึงมาใช้รักษาผิวขาวและลดฝ้าได้

โดยปกติสาร “กลูต้าไทโอน” นั้น มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าเป็น “อะมิโนแอซิดชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยสาร 3 ชนิด คือ glutamate, glycine และ cysteine มารวกัน ส่วน มากจะพบมากใน “ตับ” ซึ่งทำหน้าที่กำจัดสารพิษพวกฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น เอสโตรเจน ยาฆ่าวัชพืช สารฟอร์มาดีไฮด์ ยาพาราเซตามอล เป็นต้น ในคนสูงอายุที่มีสุขภาพดี จะพบว่า มีระดับของ “กลูต้าไทโอน” ในปริมาณสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่ร่างกายเกิดความเครียด ได้รับสารพิษ การออกกำลังกายที่มากเกินไป หรือมีการติดเชื้อ ถึงแม้ เราจะพบว่า มีระดับของ Glutathione ต่ำ ซึ่งในต่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศฟิลิปปินส์ จะใช้กลูต้าไทโอนเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพผู้ป่วยในการช่วยต้านมะเร็ง โรคหัวใจ ต้านความชรา โรคพาร์กินสัน และมะเร็งตับ โดยมีการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น ในรูปของยาหยอดตารักษาต้อกระจก ใช้เพื่อรักษาปัญหาการแพ้ยาเรื้อรัง  ใช้กำจัดสารพิษจากโลหะบางชนิด รักษาอาการแพ้ท้อง ป้องกันการติดเชื้อไวรัส ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากการฉายรังสี เสริมภูมิต้านทาน ลดอาการแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคอัลไซเมอร์ เพิ่มจำนวนสเปิร์มในชายที่พบว่า เป็นหมัน คนสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ผู้ที่ได้รับยาต้านมะเร็ง เป็นต้น

ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น มีรายงานว่า “กลูต้าไทโอน” นั้น สามารถนำไปรักษาผื่น ผิวหน้าหมองคล้ำหรือแลดูผิวหน้าไม่ขาวใส จากการแพ้น้ำหอม เครื่องสำอาง (รีลเมลาโนสิส) ได้ จึงกลายมาเป็นที่มาของการประยุกต์ใช้กลูต้าไทโอนเพื่อรักษาผื่นดำจากฝ้า และทำให้ผิวขาว โดยมีการใช้กันมากในประเทศฟิลิปปินส์ และไต้หวันมานานนับ 10 ปี แต่ในเมืองไทยเริ่มมีการใช้แพร่หลายเมื่อหลายปีก่อน โดยใช้ฉีดในรูปของสารละลายเข้าเส้น ด้วยเข้าใจว่า สารกลูต้าไทโอนสามารถเปลี่ยนการสร้างสีเมลานินจากรงควัตถุยูเมลานิน ซึ่งเป็นมวลวัตถุสีดำ ให้กลายเป็นฟีโอเมลานินซึ่งเป็นรงควัตถุสีจาง ดังนั้น จึงทำให้ผู้ที่ได้รับสารเข้าไป จึงมีผิวที่ดูเหมือนผิวขาวใส รวมทั้งฝ้าอาจจะจางลง สาเหตุที่ต้องฉีดเข้าเส้นก็เนื่องจาก พบว่า สารตัวนี้เมื่อรับประทานเข้าไป มีการดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว จะสลายตัวเร็วมากโดยอาศัยเอไซม์ในลำไส้และตับ

อย่างไรก็ดี การฉีดสารเข้าเส้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นสารอะไรก็ตาม สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ทั้งสิ้น เนื่องจาก กระบวนการผลิตอาจทำให้เกิดสารปนเปื้อน ดังเช่น เคยมีรายงานในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ. 1996 จากการฉีดสารกลูต้าไทโอนแล้ว ทำให้เกิดอาการแพ้ ที่ เรียกว่า “อะนาไฟแลคซีส” แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต ซึ่งการเกิดอุบัติการณ์นี้เกิดขึ้นได้นั้น นับว่า พบได้น้อยมาก ซึ่งไม่ต่างจากยาฉีดโดยทั่ว ๆ ไปนั่นเอง ดังนั้น สารตัวนี้คงไม่ใช่ยาพิษอย่างที่หลายคนกลัวกัน เพียงแต่ว่า การฉีดยาเข้าเส้นทุก ชนิดนั้น ควรต้องทำในสถานที่ที่มีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยและมีความพร้อม เพื่อป้องเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญหากให้แพทย์ทำการฉีดทดสอบที่ท้องแขนก่อนก็จะเป็นการดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้เอง นอกจากนี้ แพทย์ยังควรซักถามประวัติอาการแพ้ของผู้มารับการฉีดด้วย และในรายที่มีอาการแพ้มาก ๆ ก็ไม่ควรเสี่ยงฉีดให้ ดังนั้น สำหรับคนที่กลัวและยังอยากใช้สารตัวนี้ ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบการรับประทานได้ แต่ต้องใช้ปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

!!!ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ สาร “กลูต้าไทโอน” ตัวนี้ยังไม่มีการทำวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับการรักษาฝ้า และการทำให้ผิวขาวใส จึง ยังต้องรอการศึกษากันต่อไป เพื่อดูว่าขนาดเท่าไร ใช้เวลาเท่าใดจึงจะเหมาะสม และต้องมีการวิจัยตรวจวัดโดยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อพิสูจน์ว่า ทำให้ผิวขาวขึ้นได้จริงหรือไม่?

ดังนั้น สำหรับอาการแพ้อย่างอื่นที่อาจเกิดขึ้น อันได้แก่ อาการคลื่นไส้อาเจียน ผื่นคันก็ต้องระมัดระวัง และไม่ควรให้กลูต้าไทโอนในคนที่มีประวัติการแพ้ง่าย หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรเลือกกลูต้าไทโอนที่ผลิตจากโรงงานซึ่งมี อย. รับรองมาตรฐาน และความปลอดภัยจะดีกว่า และที่สำคัญ ยังมีแหล่งของกลูต้าไทโอนในธรรมชาติที่สามารถรับประทานได้ในปริมาณมาก โดยยังไม่พบผลข้างเคียง คือ เนื้อปลา หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด ผลวอลนัต และ whey protein แต่กลูต้าไทโอนในธรรมชาติ ก็คงยากสำหรับการที่จะทำให้ผิวขาวอย่างรวดเร็วหรือทันใจ ... !!!

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น