วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ผิวขาวสวย กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ด้วย "แอปเปิ้ล"



แอปเปิ้ลครีมทาผิวขาวญานิน
ทาน “แอปเปิ้ล” วันละผล เสริมสุขภาพกายเพื่อสุขภาพผิวขาวใส กระชับ

“แอปเปิ้ล” อุดมไปด้วย วิตามินซี และหลายชนิดมีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยในเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ทำให้ผิวสดชื่น ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งในปัจจุบันมีการนำสารสกัดจากผลแอปเปิ้ล ใช้ในครีมบำรุงผิวหน้าครีมทาผิวขาว ซึ่งแอปเปิ้ลมีคุณสมบัติช่วยการเปลี่ยนสีผิว และบำรุงผิวให้ขาวใสเนียน และยังส่งผลให้ผิวกระชับ ริ้วรอยดูลดเลือน แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
สาร AHA ที่เรารู้จักกันมานานแสนนาน ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงทางตะวันตกได้มีการนำไวน์เก่ามาทาผิว เพื่อรักษาผิวพรรณ บางครั้งก็ใช้ผลองุ่น แตงกวาหรือมะเขือเทศมาทาบริเวณใบหน้า ซึ่งจากการศึกษา พบว่า สารที่เป็นตัวออกฤทธิ์ คือ AHA จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ครีมทาผิวขาวต่างๆ ของญานิน

ครีมทาผิวขาวหน้าเด็กขาวใสไร้สิวญานิน

ในวงการเวชสำอาง เครื่องสำอางจึงได้มีการพัฒนาโดยเติมสาร AHA นี้ลงในเครื่องสำอาง โดยมีวัตถุประสงค์ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนนุ่ม ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นซึ่งกลไกการออกฤทธิ์ของ AHA นั้น เชื่อว่าเป็นตัวการสำคัญในการควบคุมสมดุลของความชุ่มชื้นของผิวให้เป็นปกติ ซึ่งโดยปกติผิวหนังจะมีกลไกควบคุมสมดุลของความชุ่มชื้น และถ้าความสมดุลเหล่านี้เสียไปก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น
นอกจากนี้ คนเราจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเฉลี่ยทุก 28 วัน เพื่อให้ได้เซลล์ผิวใหม่ แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้น กระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวจะช้าลง สาร AHA จะช่วยกระบวนการนี้โดยกระตุ้นเซลล์ที่ตายแล้วแต่ยังจับกันแน่นให้หลุดออก ทำให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน ทำให้ผิวหน้าดูขาวใส สดใส และยังช่วยรักษาสิวเสี้ยน โดยช่วยขจัดสิ่งคั่งค้างในรูขุมขน ทำให้สิ่งคั่งค้างซึ่งอุดตันหลุดออกไป ส่งผลให้รูขุมขนมีขนาดเล็กลง สิวเสี้ยนจึงมีปริมาณลดลงและช่วยกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยให้มีการลอกหลุดของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า จึงสามารถรักษาโรคขนคุด โรคหูด และยังสามารถเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน และองค์ประกอบในหนังแท้ จึงสามารถนำมารักษาแผลเป็นตื้น ๆ ได้ ดังนั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันว่า AHA เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน บริษัทเครื่องสำอางได้ผสม AHA ลงไปในผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการในคนกลัวแก่ โดยใช้ความเข้มข้นของกรดต่ำ ประมาณร้อยละ ๔-๖ ซึ่งเวลาใช้ควรพิจารณาสักนิดว่า สาระสำคัญที่ใช้ในเครื่องสำอางที่คุณจะซื้อ คือ สารใด มีประโยชน์และผลข้างเคียงอย่างไร

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

สารทำให้ผิวขาวที่ห้ามใช้ตามกฎหมายไทย



กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางครีมทาผิวขาว ที่ทำให้ผิวขาว ได้แก่ สารประกอบของปรอท (ammoniated mercury, phenyl mercuric salt, mercuric chloride) ไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ ด้วยเหตุผลด้านความเป็นพิษระยะสั้น/ระยะยาวและการก่อระคายเคืองในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้


ปรอทแอมโมเนีย (ammoniated mercury) จัดเป็นสารกลุ่มแรก ๆ ที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวขาว เนื่องจาก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ลดการสร้างสารสีเมลานิน นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ตับ/ไตอักเสบ โลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบมีพิษต่อระบบประสาทและเยื่อบุทางหายใจทำลายสีของผิว หนังและเล็บมือ ทำให้ผิวบางลง เกิดการแพ้ หรือเป็นแผลเป็น สารนี้มีค่า LD ๘๖ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศห้ามใช้สารประกอบของปรอทเป็นส่วนผสมในเครื่อง สำอาง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ และเป็นสารห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยกำหนดชื่อสารห้ามใช้ คือ ปรอทและสารประกอบของปรอท
ไฮโดรควิโนน เป็นสารที่เคยได้รับความนิยมใช้มากที่สุด มีสมบัติในการฟอกสีผิว (skin bleaching) ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ปัจจุบันห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เนื่องจาก พบว่า ก่อกลายพันธุ์ใน Salmonella และมีความเป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxicity) ทำให้เกิดการแพ้/ระคายเคืองต่อผิว และทำให้ผิวไวต่อแสง ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่เดิมเคยอนุญาตให้ใช้ในครีมแก้ฝ้าแต่ภายหลังพบว่า ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาว หน้าแดงหรือเกิดเป็นฝ้าถาวร (ochronosis) สารนี้มีความเป็นพิษโดยมีค่า LD ในหนูทดลอง ๓๒๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็งในหนูตามกฎหมายสาร ไฮโดรควิโนนจัดเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่อนุญาตให้ใช้ในสูตรตำรับยาชนิดครีมที่ระดับความเข้มข้น ร้อยละ ๒-๔
กรดวิตามินเอ หรือกรดเรทิโนอิก (retinoic acid) เป็นสารที่ช่วยให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ จึงจัดเป็นสารทำให้ผิวหนังหลุดลอก (peeling agent) ทำให้สิวเสี้ยนและ ผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดลอกออกได้โดยง่าย ช่วยให้ผิวดูผ่องใสนุ่มเนียน เมื่อใช้ร่วมกับสารไฮโดรควิโนน จะช่วยให้ไฮโดรควิโนนซึมเข้าสู่ผิวหนังและออกฤทธิ์ได้มากกว่าปรกติ ความเป็นพิษ คือ ทำให้หน้าแดงแสบร้อนรุนแรง เกิดการระคายเคือง อักเสบ แพ้แสงง่าย เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เนื่องจาก มีสมบัติกำเนิดทารกวิรูป (teratogenesis) สารนี้มีค่า LD ในหนูทดลอง ๒,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยที่กรดเรทิโนอิกจัด เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒. อย่างไรก็ตาม สามารถใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในสูตรตำรับยาครีมสำหรับรักษาสิวที่ระดับความเข้มข้นร้อยละ ๐.๐๑-๐.๑ ทั้งนี้ การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต


วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

รู้จักสารสกัดจากธรรมชาติทำให้ผิวขาว




ครีมทาผิวขาวญานิน
วิตามินซี เป็นสารทำให้ผิวขาวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย วิตามินซีมีสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชัน ลดการสร้างเมลานิน โดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และมีฤทธิ์ฟอกสีผิวจึงทำให้ผิวขาวขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก วิตามินซีเองถูกออกซิไดส์ได้ง่าย จึงได้มีการพัฒนาอนุพันธ์ของวิตามินซีเพื่อปรับปรุงเสถียรภาพทางเคมี และทำให้สารแพร่ผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ตัวอย่างอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ได้รับความนิยม เช่น magnesium L-ascorbyl phosphate (MAP), magnesium ascorbate PCA (MAPCA), ascorbyl oleate, vitamin C glycoside, disodium ascorbyl sulfate MAP เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก มีเสถียรภาพดี ยับยั้งการสร้าง เมลานินได้ผลดี สามารถปกป้องผิว ลดการอักเสบและปฏิกิริยา lipid peroxidation ที่เกิดจากรังสียูวีบี (UVB) ได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย MAP จะเปลี่ยนรูปเป็นวิตามินซีซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์

กรดโคจิก เป็นสารสกัดทำให้ผิวขาวจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากการรบกวนการเมแทบอลิซึมของเชื้อรา เช่น Aspergillus, Penicillium ได้จากการหมักข้าวของชาวญี่ปุ่น กรดโคจิกมีผลรบกวนการสังเคราะห์เมลานิน เป็นสารคีเลต มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน และเป็นตัวจับอนุมูลเสรี และได้มีการพัฒนากรดโคจิกให้มีเสถียรภาพต่อแสงแดดและออกซิเจนมากขึ้น โดยปรับปรุงโครงสร้างทางเคมีเป็น kojic dipalmitate ซึ่งมีเสถียรภาพดีขึ้น อยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์มีทั้งชนิดทา ฉีด และชนิดกิน โดยเฉพาะในอาหารญี่ปุ่น
bearberry ครีมทาผิวขาว
อาร์บูทิน เป็นสารทำให้ผิวขาวกลุ่มอีเทอร์และไกลโคไซด์พบในพืชต่างประเทศ เช่นbearberry ในใบของ Bergenia crassifolia อาร์บูทินมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินโดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและปฏิกิริยาออกซิเดชันของ DOPA จึงใช้ได้ผลดีในการปรับสภาพผิวในภาวะมีสารสีเกิน (hyperpigmentation) การวิจัยนอกกาย พบว่า เมื่อใช้อาร์บูทินความเข้มข้นต่ำกว่า 300 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรกับเซลล์เมลาโนไซต์ของคน สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและการสร้างเมลานินอย่างได้ผล โดยมีความเป็นพิษต่อเซลล์ต่ำ

สารสกัดรูเม็กซ์เป็นสารสกัดทำให้ผิวขาวที่ได้จากพืชวงศ์ Polygonaceaeจำนวน 4 ชนิด คือRumex occidentalis, Rumex maritimus, Fumex pseudonatronatus และ Rumex stenophyllus กลวิธานในการทำให้ผิวขาวขึ้นมาจากฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับกรดโคจิก และมีฤทธิ์ดีกว่าไฮโดรควิโนน และอาร์บูทิน

สารสกัดรากชะเอมเป็นสารสกัดทำให้ผิวขาวที่ได้จากรากพืชสกุล Glycyrrhiza ซึ่งมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น แกลบริดิน (glabridin), ลำคิวริทิน (liquiritin), ลิคิวเรไซด์ (licuraside)สารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส จึงลดการสร้างเมลานินและช่วยให้สีผิวขาวขึ้นผลิตภัณฑ์บางชนิดใช้สารสกัดรากชะเอมผสมกับสเตียรอยด์เฉพาะที่ เช่น เบตาเมธาโซน และกรดเรทิโนอิก พบว่า สามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีบี (UVB) ได้ผลดี
แอปเปิ้ลครีมทาผิวขาว
กรดผลไม้ (alpha hydroxyl acid; AHA) เป็นกรดอ่อนที่ทำให้ผิวขาวซึ่งพบได้ในผลไม้ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว สารที่ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดออก กระตุ้นการผลัดเซลล์ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่ กรดไกลโคลิก (glycolic acid) ซึ่งพบมากในอ้อย กรดแลกติก (lactic acid) พบมากในนมเปรี้ยว กรดมาลิก (malic acid) พบมากในผลแอปเปิ้ล กรดซิทริก (citric acid) พบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว และกรดทาร์ทาริก(tartaric acid) พบในองุ่น สำหรับกลวิธานการออกฤทธิ์ กรดผลไม้มีคุณสมบัติเป็นสารคีเลตสามารถจับแคลเซียมไอออนในเซลล์ผิว จึงช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นนอก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่แลดูผิวขาวขึ้นและอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น

กรดกลัยโคลิก สารทำให้ผิวขาวที่มีโครงสร้างและขนาดโมเลกุลเล็ก จึงซึมผ่านผิวหนังได้ดี กรดกลัยโคลิกในความเข้มข้นต่ำช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่ที่ความเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดการสลายของชั้นหนังกำพร้า (epidermolysis)
ชาเขียวสกัดครีมทาผิวขาว
ชาเขียว (green tea) เป็นเครื่องดื่มที่มีใช้แพร่หลาย ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดอนุมูลเสรี ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส สารสำคัญในชาเขียวที่ทำให้ผิวขาว ได้แก่ (-)-epicatechin 3-O-gallate (ECG), (-)-gallocatechin 3-O-gallate (GCG), (-)-epigallocatechin 3-O-gallate (EGCG) สารกลุ่มแคทีซิน (catechin) เหล่านี้มีหมู่กรดแกลลิกเป็นหมู่ฟังก์ชันสำคัญ ออกฤทธิ์ยับยั้งแบบแข่งขันที่ตำแหน่งกัมมันต์บนโมเลกุลเอนไซม์ไทโรซิเนส สำหรับ EGCG เป็นสารประกอบฟีนอลที่มีคุณสมบัติต้านออกซิเดชัน พบในชาเขียวและชาดำ ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งรูปแบบกินและใช้ภายนอก

นอกเหนือจากสารที่กล่าวข้างต้นยังมีสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่ทำให้ผิวขาวที่ผ่านการวิจัย และพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ เช่น
  • สารสกัดเมล็ดลิ้นจี่ซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
  • สารสกัดเมล็ดองุ่น ประกอบด้วย oligomeric proanthocyanidins (OPC) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ช่วยลดและชะลอการเสื่อมและเซลล์ผิวหนัง
  • สารสกัดจากผลมะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ฤทธิ์ต้านเอนไซม์คอลลาจีเนสและฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส อุดมด้วยวิตามินซี กรดแกลลิก และสารเอ็มบลิคานิน ซึ่งช่วยลดการถูกทำลายของผิวจากแสงแดดและอนุมูลเสรี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว สารสกัดเมล็ดลำไยซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
  • เมล็ดลำไยประกอบด้วยสารประกอบพอลิฟินอลิกที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันในปริมาณสูง
  • มะหาดซึ่งมีสารสำคัญทำให้ผิวขาวในแก่นมะหาด คือ oxyresveratrol
  • สารสกัดจากเปลือกสนมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ลดการสร้างเมลานิน
  • ปอสา สารสกัดจากรังไหม ซึ่งมีสารสำคัญทำให้ผิวขาวในกลุ่มฟลาโวนอยด์
  • สารสกัดใบหม่อน ซึ่งมีสารสกัดทำให้ผิวขาวกลุ่มฟลาโวนอยด์ และไทรเทอร์พีนอยด์หลายชนิด มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส

สารสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมทาผิวขาว ที่ทำให้ผิวขาว

สำหรับกลุ่มสารทึบแสงกันแดด ได้แก่ กลุ่มสารกันแดดโดยวิธีทางกายภาพ คือ การดูดซับหรือการสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลต ลักษณะทางกายภาพของสารกลุ่มนี้มักมีสีขาวหรือขาวหม่น จึงทำหน้าที่เคลือบคลุมผิวและสามารถกลบสีผิวเดิมไว้ จึงช่วยให้ใบหน้าดูขาวขึ้น โดยมากนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับเครื่องสำอาง รองพื้นและแป้งทาหน้าหรือทาตัว และยังนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดทั่วไป ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ เช่น titanium dioxide, zinc oxide, iron oxide, talum, kaolin (kaye). ปัจจุบันมีการคิดค้นสารดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตตัว   ใหม่ ๆ ซึ่งปกป้องผิวในช่วงความยาวคลื่นกว้าง เช่น Mexoryls SX

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
นวพร เอี่ยมธีระกุล

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

สารทำให้ผิวขาว




ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า มีการใช้กลุ่มสารทำให้ผิวขาว (skin whitening agent) อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณครีมทาผิวขาวหลากหลายชนิด ทั้งสำหรับผิวหน้า และผิวกาย คำว่า “skin whitening agent” มีความหมายใกล้เคียงกับคำศัพท์ skin lightening agent; depigmenting agent; skin bleaching agent ซึ่งในบทความวิจัยในต่างประเทศ มักใช้ในความหมายที่เทียบเคียงกัน หรือแทนกันได้

 “สารทำให้ผิวขาว” หมายความถึง กลุ่มสารที่มีกลวิธานออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น หรือทำให้สีผิวเข้มน้อยลง หรือสีผิวอ่อนลง เมื่อเทียบกับสีผิวเดิม

อนึ่ง สารทำให้ผิวขาว (skin whitening agent; skin lightening agent; depigmenting agent; skin bleaching agent) มีกลวิธานการออกฤทธิ์หลากหลาย เช่น การรบกวนขั้นตอนในกระบวนการสร้างเมลานิน การกระตุ้นการผลัดผิว หรือการปกป้องผิวโดยวิธีทางกายภาพ โดยทั่วไปแบ่งประเภทสารกลุ่มนี้ตามกลวิธานการออกฤทธิ์ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 
  1. สารยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase inhibitor) ได้แก่ สารธรรมชาติหลายชนิด ซึ่งมักมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันร่วมด้วย เช่น วิตามินซี อาร์บูทิน สารสกัดรากชะเอม กรดโคจิก สารสกัดใบหม่อน
  2. สารทำให้เกิดการหลุดลอกเป็นแผ่น (exfoliation) ได้แก่ สารที่ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยการสลายเคอราทิน(keratolytic) จึงกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังสีคล้ำชั้นนอกสุด จึงลอกหลุดออกได้เร็วขึ้น สีผิวใหม่จึงดูผิวขาว และอ่อนเยาว์ ตัวอย่างสารทำให้ผิวขาวกลุ่มนี้ เช่น กรดผลไม้ กรดซาลิไซลิก กรดเรทิโนอิก หรือกรดวิตามินเอ
  3. สารกันแดด ได้แก่ กลุ่มสารที่สามารถดูดซับหรือสะท้อนรังสียูวี จัดเป็นการปกป้องผิว โดยวิธีทางกายภาพ
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางครีมทาผิวขาว ทำให้ผิวขาว  มักมีส่วนประกอบของสารทำให้ผิวขาวตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไปจากกลุ่มสารที่มีการออกฤทธิ์ทั้ง 3 กลวิธานนี้  
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวขาว ทำให้ผิวขาวมีจำหน่ายเป็นจำนวนมากในท้องตลาดรวมถึงช่องทางขายตรงและอินเตอร์เน็ต บริษัทผู้ผลิตอาจระบุคำกล่าวอ้างสรรพคุณไว้อย่างหลากหลาย ทั้งที่มีเค้ามูลความน่าเชื่อถือหรือบางกรณีก็อาจเกินจริง ซึ่งสารออกฤทธิ์หลายชนิดอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและผิวพรรณหากใช้ผิดวิธี หรือใช้ในระยะเวลาหรือความเข้มข้นไม่เหมาะสม ผู้บริโภคจึงควรรู้เท่าทัน และควรตระหนักถึงอันตรายจากผลิตภัณฑ์ โดยศึกษาส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์อย่างถ่องแท้ อ้างอิงข้อมูลตามหลักวิชาการและผลการวิจัยเป็นสำคัญผู้บริโภคควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สีผิวตามธรรมชาตินั้นเป็นผลจากพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อมประกอบกัน และไม่มีผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวขาว ทำให้ผิวขาวใดที่สามารถปรับเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร

ในกรณีที่ผู้บริโภคมีข้อกังขาด้านส่วนประกอบห้ามใช้ ปัจจุบัน มีชุดทดลองของหน่วยงานราชการ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นว่า มีสารห้ามใช้ เช่น ไฮโดรควิโนน สารปรอท กรดวิตามินเอ อยู่ในผลิตภัณฑ์หรือไม่

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สารจากธรรมชาติหลายชนิด โดยเฉพาะจากพืชท้องถิ่นของไทย มีศักยภาพในการนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวขาว ทำให้ผิวขาว เนื่องจาก มีฤทธิ์ด้านเอนไซม์ไทโรซิเนส และ/หรือฤทธิ์ด้านออกซิเดชัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง/เวชสำอางอย่างเป็นระบบ ตามหลักวิธีปฏิบัติที่ดี ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการผลิต ซึ่งช่วยส่งเสริมการสร้างรายได้จากผลิตทางการเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคควรระลึกเสมอว่า การดำรงชีวิตอย่างถูกหลักสุขอนามัย คือ ทานอาหารครบหมู่ตามหลักโภชนาการ ดื่มน้ำสะอาด นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยังคงเป็นแนวปฏิบัติพื้นฐานที่จะให้สุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณมีสุขภาพดีสมวัย

นวพร เอี่ยมธีระกุล

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

รังสีอัลตราไวโอเลต: มีผลให้หนุ่มสาวส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเสื่อมสภาพของผิวคล้ายผู้สูงอายุ



รังสีอัลตราไวโอเลต:
มีผลให้หนุ่มสาวส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเสื่อมสภาพของผิวคล้ายผู้สูงอายุ




 ประเทศ ไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน จึงมีแสงแดดจัดเกือบตลอดปี ประชาชนจำนวนมากเกิดปัญหาด้านผิวพรรณ อันเนื่องมาจากการสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นประจำ เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยหมองคล้ำ อย่างไรก็ดี คนเอเชียรวมทั้งคนไทยส่วนใหญ่มีค่านิยมด้านความงามว่า สุภาพสตรีควรมีผิวขาวกระจ่างใสด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ครีมทาผิวขาวที่ช่วยให้ผิวขาว จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet radiation; UVR) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

1.   ยูวีเอ (UVA) ซึ่งมีความยาวคลื่น 315-400 นาโนเมตร ผ่านลงมาถึงพื้นโลกได้มากที่สุด
2.   ยูวีบี (UVB) มีความยาวคลื่น 280-315 นาโนเมตรและบางส่วนของรังสียูวีบี (UVB) ที่ผ่านลงมาถึงพื้นโลก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทั้งยูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) จึงเป็นสาเหตุหลักของอันตรายจากแดด
3.   ยูวีซี (UVC) มีความยาวคลื่นระหว่าง 100-280 นาโนเมตร เป็นรังสีความคลื่นสั้นที่สุด มีพลังงานสูงสุด จึงเป็นอันตรายที่สุด แต่เนื่องจาก รังสีชนิดนี้ถูกดูดซับไว้โดยชั้นบรรยากาศเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ผ่านลงมาถึงพื้นโลก

อายุที่มากขึ้นผิวหนังย่อมเสื่อมไปตามวัยนั้น ซึ่งในปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง พบว่า หนุ่มสาวส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาผิวเสื่อมสภาพของผิวคล้ายผู้สูงอายุ ซึ่งคงดีไม่น้อยถ้าสามารถดูแลรักษาผิวพรรณให้ดูสมวัย หรืออ่อนกว่าวัยได้ จากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะชั้นผิวหนังของผู้สูงอายุและวัยรุ่น พบว่า เซลล์ในชั้น basal layer (เป็นชั้นของเซลล์ที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ใหม่) มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผู้สูงอายุจะมีชั้น epidermis (หนังกำพร้า: ผิวชั้นนอก) ที่บางจำนวนเซลล์น้อย และกระจายตัวอยู่อย่างหลวม แต่สำหรับชั้น epidermis (หนังกำพร้า: ผิวชั้นนอก) ในวัยรุ่น พบว่า มีความหนามากกว่าในผู้สูงอายุ และอัดแน่นเต็มไปด้วยเซลล์รูปร่างสมบูรณ์จำนวนมาก นอกจากปัจจัยอายุที่เพิ่มขึ้นจะมีผลต่อความเสื่อมของเซลล์ผิวแล้ว สิ่งเร้าอื่นๆ  ยังส่งผลต่อเซลล์ผิวเช่นกัน อาทิ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด เป็นต้น แต่ศัตรูสำคัญของผิวในปัจจุบัน คือ รังสี UV เนื่องจาก ภาวะเรือนกระจกส่งผลให้ปริมาณรังสี UV ที่ ผ่านชั้นบรรยากาศเข้าสู่พื้นผิวโลกมีมากขึ้น รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่อยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ ในอาคารที่มีหลอดไฟ หน้าจอคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ ต่างก็เป็นแหล่งของรังสี UV เช่นกัน ดังนั้น เมื่อผิวหนังได้รับรังสี UV ระยะเวลาหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอนไซม์ tryptase ซึ่งเอนไซม์นี้ จะย่อยสลายโปรตีนใน basement membrane และทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในชั้น basement membrane และทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในชั้น basal layer (เป็นชั้นของเซลล์ที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ใหม่) รวมถึง epidermal stem cell ซึ่งอยู่ในชั้น basal layer ของ epidermis ซึ่งมีผลทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง

ดังนั้น จากที่กล่าวว่า รังสี UV เจ้าศัตรูตัวฉกาจของผิวหนัง เพราะนอกจากทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง สูญเสียคุณสมบัติการเป็นเกราะป้องกันร่างกายตามธรรมชาติ เนื่องจาก ผลของเอนไซม์แล้ว ยังส่งผลต่อเซลล์โดยตรง โดยรังสี UV สามารถสร้างความเสียหายต่อสาย DNA ในเซลล์ต่าง ๆ แม้ว่า ร่างกายมีกลไกซ่อมแซมสาย DNA แต่หากสาย DNA ถูกทำลายในปริมาณมากเกินกว่าความสามารถของร่างกายซ่อมแซมได้ทันเซลล์ที่สาย DNA ถูกทำลายนั้นอาจเจริญต่อไป จนเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) และอาจเกิดเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้ในที่สุด ปัจจุบันมีงานวิจัยค้นพบว่า สารสกัดจากเชื้อ Bifidobacteria และเมล็ดถั่วเหลืองช่วยป้องกันเซลล์ผิวจากรังสี UV และมลภาวะ   ต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมสาย DNA ที่ถูกทำลายด้วย

ดังนั้น จากที่กล่าวมาข้างต้น สภาพแวดล้อมในปัจจุบัน มลภาวะ การใช้ชีวิต ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดผลกระทบต่อเซลล์ผิว ทั้งในแง่ของการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ และการเสื่อมสภาพ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อปริมาณเม็ดสีในผิว เพราะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า ไม่เพียงแต่เอนไซม์ tryptase เท่านั้น ที่ถูกหลั่งออกมาทำลายโปรตีนในผิวหนังยังพบ melanogenic mediators ต่าง ๆ เช่น endothelin (ET-1), melanin-stimulating hormone และ neuropeptide ซึ่งกระตุ้น melanocyte ให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น จนกระทั่ง เกิดภาวะ hyperpigmentation ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ สีผิวเข้มขึ้น และจากการที่พบว่า เม็ดสีแพร่กระจายเข้าสู่เซลล์ผิวในชั้นต่าง ๆ และประกอบกับผลการศึกษาที่พบว่า หากเม็ดสีแพร่เข้าไปในเซลล์ต้นกำเนิดชนิด transit amplifying (TA) stem cell จะทำให้เซลล์นั้นหยุดการทำงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์อื่น ๆ ได้ TA stem cell ที่เหลืออยู่ จึงต้องทำหน้าที่ให้มากขึ้นเพื่อชดเชย TA stem cell ที่หยุดไปเป็นสาเหตุให้ TA stem cell ที่เหลืออยู่นั้นมีอายุขัยที่สั้งลง เซลล์ผิวมีความอ่อนแอ ส่งผลให้ผิวหนังดูแก่ก่อนวัย เกิดริ้วรอยหมองคล้ำจาก การสะสมของเม็ดสีและเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว เนื่องจาก ร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์ผิวใหม่มาผลัดทดแทนได้ทัน ปัจจุบันพบว่า มีสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดที่สามารถยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีได้ เช่น สารสกัดจากดอกเคซี่ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเกิดภาวะ hyperpigmentation ได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่การยังยั้งการทำงานของ melanogenic mediatior ลดปริมาณและประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ในการสร้างเม็ดสี รวมถึงการขัดขวางการแพร่ของเม็ดสีออกจาก melanocyte เข้าสู่เซลล์อื่น

อนึ่ง ทุกคนล้วนแต่มีความต้องการที่จะรักษาสภาพผิวที่มีสุขภาพดี สมบูรณ์ เยาว์วัยไว้ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุเพิ่มขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายย่อมต้องเปลี่ยนไปตามการเจริญเติบโตรวมถึงผิวหนัง ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับมลภาวะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันนักวิจัยด้านผิวพรรณทั่วโลกให้ความสนใจในสารสกัดจากธรรมชาติที่มี ความสามารถในการปกป้องและดูแลปัญหาผิวด้วยแนวคิดที่ต่างจากเดิม และการพัฒนาวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวที่ดี เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

ผิวขาวสวยสุขภาพดีนั้น เป็นผลจากพื้นฐานของผิวตามพันธุกรรมและวิธีการดูแลผิวประกอบกัน ไม่ว่าพื้นฐานเป็นเช่นไร หากเราเรียนรู้ที่จะดึงจุดเด่น กลบจุดด้อย ดูแลตัวเองให้สวยจากภายในออกสู่ภายนอก เราทุกคนจะค้นพบความงามในแบบฉบับของตัวเองกันได้ทั้งสิ้น ดังคำกล่าวของดีไซน์เนอร์ชาวอังกฤษชื่อก้องโลกที่ว่า
I think there is beauty in everything.
What ‘normal’ people would perceive as ugly,
I can usually see something of beauty in it.”
Lee Alexander McQueen

 ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต