วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การเลือกและใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง




ปฏิกิริยารุนแรงจากการใช้ครีมกันแดด มักพบได้เสมอ และมีรายงานเกี่ยวกับผลจากการใช้ทา หรือเกิดผื่นแดงจากการใช้ครีมกันแดด การเกิดปฏิกิริยาบวมแดงหลังจากใช้ครีมกันแดดเป็นการระคายเคืองจากฤทธิ์ของสารกันแดด

กรณีที่เกิดอาการแพ้โดยปกติจะมีสัดส่วน ดังเช่น การสาธิตโดยตรวจสอบแบบเป็นจุด (putch testing) การทดสอบโดยใช้แสงเป็นจุด (photopatch testing) หรือการทดสอบโดยสะกิดเพียงตื้น ๆ (scratch testing) ซึ่ง มีการศึกษาในห้องทดลอง และรายงานว่า สารกันแดดมีผลทำให้เกิดสารก่อมะเร็งหลังจากได้รับแสงอัลตราไวโอเลต แต่ยังไม่มีข้อสนับสนุนยืนยันจากผลการทดลองกับสิ่งมีชีวิต แต่จากการศึกษาพบว่า ครีมกันแดดจะช่วยปกป้องมากกว่าการส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งจากการได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า ครีมกันแดดสามารถลดหรือป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตที่ทำให้เกิดเนื้อร้าย มีผลการทดลองทางระบาทวิทยาให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดกับการเกิดมะเร็งผิวหนัง และยังพบว่า การใช้ครีมกันแดดกับการเกิดมะเร็งที่เกิดจากไฝ (melanoma) ซึ่ง พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ช่วยป้องกันการเกิดอาการไหม้แดด จึงทำให้สามารถทำงานกลางแจ้งได้ยาวนานขึ้น ซึ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน หากใช้ครีมกันแดดที่มีหน่วยวัดค่า SPF ต่ำหรือใช้ครีมกันแดดที่ไม่เพียงพอสำหรับปกป้องรังสี UVA และมีรายงานว่า การใช้ครีมกันแดดติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลให้ขาดวิตามินดี แต่จากหลักฐานการศึกษาในกลุ่มผู้ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำส่วนมากยังมีระดับของวิตามินดีปกติ

ครีมกันแดดที่พึงประสงค์ควร จะให้การปกป้องที่ดีครอบคลุมทุกช่วงคลื่นของแสงอัลตราไวโอเลต แม้ว่า หลังจากอยู่กลางแดด และยังคงสภาพหลังจากเหงื่อออกหรือการว่ายน้ำ และไม่มีพิษ ตลอดจนไม่เกิดอาการแพ้หรือเกิดผื่น จากเหตุผลเหล่านี้ จึงต้องให้คำแนะนำปริมาณความเข้มข้นที่ขีดสูงสุด สำหรับกรองแสงแต่ละชนิด ความเข้มข้นมีความสำคัญ เนื่องจาก เป็นตัวกำหนดระดับการปกป้องของผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดและเพิ่มการปกป้องให้บรรลุผลสำเร็จได้ โดยการเพิ่มความเข้มข้นของสารกรองแสง หรือโดยการนำสารกรองแสงต่างชนิดกันมาผสมในผลิตภัณฑ์เดียวกัน

การใช้ครีมกันแดด ควรใช้เป็นประจำทุกวันแม้ ว่า ยังไม่เกิดอาการไหม้แสงแดด แต่แสงอัลตราไวโอเลตเป็นตัวทำลายผิว ด้วยการสะสมทีละน้อยตลอดช่วงที่ยังมีชีวิต หมายความว่า ผลการทำลายยังไม่เกิดอาการทันทีอาการไหม้แดดยังไม่แสดงผลภายใน 24 ชั่วโมง และบางอาการต้องใช้เวลาเป็นปี ข้อมูลแสดงการทำลายผิวที่เกิดจากแสงแดดประมาณร้อยละ 80 เสนอข้อมูลของผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี จึงทำให้ผู้ที่มีอายุสูงกว่าไม่ให้ความใส่ใจในการใช้ครีมกันแดด มีผลสำรวจของชาวอเมริกันที่มีอายุ 18 ปีใส่ใจต่อรังสีอัลตราไวโอเลตน้อยกว่าร้อยละ 25 ซึ่งการใช้ครีมกันแดดและสวมหมวกปีกกว้าง เพื่อปกป้องรังสีจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและไม่สายเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้ว่า ออกทำงานกลางแจ้งเพียง 20 นาทีก็ควรใช้ครีมกันแดดให้เป็นประจำทุกวัน โดยใช้หลังอาบน้ำหรือก่อนต่างหน้าทาปาก โดยปกติควรทาครีมกันแดดก่อนออกนอกบ้านเป็นเวลาประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดซึมซาบลงสู่ผิวหนัง และควรทาให้เด็กเพื่อช่วยปกป้องให้แก่ผิวของเด็ก ซึ่งยังบอบบางและควรระมัดระวังไม่ให้ครีมกันแดดเข้าตาอาจทำให้ระคายเคือง มีข้อแนะนำว่า ไม่ควรใช้ครีมกันแดดกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่ง อาจมีผลให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ ถ้าจะต้องนำเด็กออกนอกบ้านควรบังแสงและใช้เสื้อผ้าปกป้องผิวและแนะนำให้สวม หมวกใส่แว่นกันแดดป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตร้อยละ 99-100 ทั้งนี้ แสงแดดยังมีผลกระทบต่อการพัฒนาทางด้านสายตาของเด็กทารกอย่างมาก

การเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. รูปแบบ (form) ซึ่งมีเลือกซื้อมากมาย เช่น ครีม เจล โลชั่น แท่งทา ขี้ผึ้ง ขึ้นอยู่กับความพอใจและความเหมาะสมของผู้บริโภค
  2. ค่า SPF โดยครีมกันแดดจะมีระบบของ SPF ต่ำสุดอยู่ที่ 2-11 ระดับปานกลาง 12-29 และระดับสูง มากกว่า 30 ขึ้นไป หน่วยวัดค่า SPF เป็น ค่าบ่งบอกระยะเวลาที่อยู่กลางแสงแดดได้โดยไม่ทำให้เกิดการไหม้แดด เป็นค่าวัดจากการคำนวณผลเปรียบเทียบการเกิดอาการไหม้แดด หลังจากใช้ครีมกันแดดปกป้องผิวกับการไม่ใช้ครีมปกป้อง ตัวอย่างเช่น ครีมกันแดดหน่วยวัด SPF 2 หมายความว่า ปกติไม่ทาครีมกันแดดผิวจะเกิดอาการผื่นแดงในเวลา 10 นาทีในการทำงานกลางแจ้ง แต่ถ้าใช้ครีมกันแดดจะเกิดอาการหลังจากอยู่กลางแจ้งนาน 20 นาที ถ้าครีมกันแดด SPF 15หมายความว่า สามารถอยู่กลางได้นานกว่า 15 เท่า จึงเกิดอาการผื่นแดง แต่ระดับ SPF อาจมีผลลดลงได้จากปัจจัยอื่น เช่น เหงื่อออก ความเปียกชื้น การนวดหรือเช็ดออก ค่า SPF ระดับที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นปฏิภาคโดยตรงกับความสามารถในการป้องกันแสงแดด เช่น SPF 30 ไม่สามารถป้องกันรังสีได้มากกว่า SPF 15 ได้เป็น 2 เท่า แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ครีมกันแดด SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ร้อยละ 93 และ SPF 30 ป้องกันได้ร้อยละ 97 ซึ่งครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30 ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ค่าปกป้องรังสี UVA (UV-A protection) ในครีมกันแดดนี้มีความสำคัญ เนื่องจาก สามารถปกป้องรังสี UVB ได้ และเพื่อความมั่นใจ จึงควรตรวจสอบสูตรผสมของผลิตภัณฑ์ที่ต้องประกอบด้วยสารกลุ่ม benzopheones, oxybenzone, sullsobenzone, titanium dioxide, zinc oxide, avobenzone เป็นต้น
  4. การกันน้ำ (water resistance) เพื่อให้ครีมกันแดดไม่ถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดาย จากเหงื่อหรือหลังการว่ายน้ำ โดยครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำได้นี้ จะติดอยู่บนผิวหนังได้นาน ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่แสดงฉลากกันน้ำ (water-resistant) จะยังคงอยู่ได้นานประมาณ 40-80 นาที

ดังนั้น การใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีคุณภาพ อาจไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้ครีมกันแดดนั้นเลย ควรมีหลักการในการเลือกใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ควรมีคุณลักษณะที่ดีประกอบกัน ดังนี้


นวพร เอี่ยมธีระกุล

yanincosmeticbangkok.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น