วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

องศาเดือด...ประเทศไทย...ร้อนมาก...

องศาเดือด...ประเทศไทย...ร้อนมาก...


ฤดูร้อนปีนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่เสียงบ่นว่าร้อนๆๆๆๆ หลายคนรู้สึกว่า ประเทศไทยปีนี้อากาศร้อนขึ้นมากกว่าปกติ แม้แต่ในกรุงเทพมหานครเองก็ตาม หลายคนเริ่มหันมาเล่นน้ำสงกรานต์ยามค่ำคืนโดยให้เหตุผลว่า ทนแสงแดดจ้าในตอนกลางวันไม่ไหว ขนาดอยู่ในบ้านหรือตัวอาคารต่อให้ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงจนเกือบจะถึงจุดเยือกแข็งแล้วก็ยังได้แค่บรรเทาให้อากาศภายในห้องลดลงเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเย็นเลย แต่ถ้าบ้านไหนไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ ครั้งนี้คงเข้าถึงคำพูดที่ว่า ร้อนตับแลบได้อย่างลึกซึ้ง ระหว่างวันที่นอนตากอากาศอบอ้าวราวกับอยู่ในตู้อบนั้น เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเรารับรู้ถึงความรู้สึก “ร้อน” เรารู้สึกได้อย่างไร?

เพราะมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่นซึ่งร่างกายมีความสามารถในการรักษาระดับอุณหภูมิในคงที่อยู่เสมอ คือ 36.5-37 องศาเซลเซียส อุณหภูมิของร่างกายมนุษย์จะเป็นอิสระกับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมและไม่ผกผันตามสภาพอากาศภายนอกเหมือนเช่นสัตว์เลือดเย็นอื่น ๆ ดังนั้น แล้ว ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะผกผันเพียงใด ร่างกายของเราจะยังคงรักษาอุณหภูมิไว้ทีเดิมและปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น เมื่ออากาศภายนอกสูงขึ้น หรือต่ำลง จึงทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกร้อนและหนาวนั่นเอง

อากาศร้อน ทำให้คนเสียชีวิตได้จริงหรือ??


โดยทั่วไปแล้วอากาศร้อนอาจไม่ได้มีผลโดยตรงกับการเสียชีวิต แต่อาจเป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติบางอย่างเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำ เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นร่างกายจะมีกลไกอัตโนมัติสั่งการให้มีการระบายความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ  ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและยังมีไอเหงื่อที่ระเหยออกมาทางต่อมผิวหนังซึ่งเราไม่สามารถมองเห็น การระบายออกของเหงื่อทั้งสองชนิดนี้จะมีปริมาณมากกว่าปกติ เมื่ออากาศร้อน และการระบายออกในปริมาณที่มากขึ้นนั้นเป็นตัวการทำให้ระดับความเข้มข้นในเลือดและเกลือแร่ในร่างกายเข้มข้นเกินไป จะสังเกตได้จากการที่เรามักจะอยากดื่มน้ำมาก ๆ ในเวลาที่อากาศร้อน นั่นเป็นเพราะร่างกายต้องปรับสภาพสู่สภาวะสมดุลซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติ แต่หากร่างกายมีสภาวะเครียดจะไปกระตุ้นหัวใจให้บีบตัวแรงขึ้นและกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติบางอย่างในร่างกาย ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวทัน จึงทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไปเพียงพอ ในคนปกติหากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทันก็สามารถเป็นลมได้เช่นเดียวกัน การเป็นลมไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตได้โดยตรง แต่หากเราเป็นลมแล้วล้มศีรษะกระแทกพื้น หรือเป็นลมระหว่างที่อยู่ในน้ำก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดในผู้สูงอายุ

วิธีดับกระหายคลายร้อน


อากาศร้อน ๆ มีหลายวิธีดังร้อนไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ เพราะเครื่องปรับอากาศนั้นช่วยปรับสภาพอากาศให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของเรามากที่สุด จึงทำให้เรารู้สึกสบายตัว แต่การอยู่ในห้องแอร์ตลอดทั้งวันทั้งคืนก็ทำให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้นได้เช่นกัน การอาบน้ำเย็นเป็นการนำความเย็นเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย “แตงโม” ผลไม้ยอดฮิต แตงโมเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาความเย็นในร่างกาย ถ้าแช่เย็นได้ดียิ่งดี เพราะจะทำให้รู้สึกสดชื่น การพัดหรือเป่าพัดลม เป็นการเป่าเหงื่อบนผิวหนังให้ระเหยออกไปเร็วขึ้น ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ดังนั้น จึงควรคู่ไปกับการดื่มน้ำเย็น ๆ เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไปจากเหงื่อ นอกจากนี้ การดื่มน้ำเย็นยังช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น แต่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดหรืออ่อนเพลียจากอาการลมแดด ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดในทันที เพราะจะทำให้เกิดอาการตะคริวท้อง ซึ่งเป็นอันตรายมากค่ะ


ทำความรู้จักกับประเภทของครีมกันแดด

  1. Chemical Sunscreen : มีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตไว้ในผิว ซึ่งหลังจากโดนแดดเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมสมรรถภาพลง และนี่คือเหตุผลที่ครีมกันแดดบางยี่ห้อระบุวิธีใช้ให้เราต้องทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
  2. Physical Sunscreen : มีส่วนประกอบหลักเป็นสารทึบแสง จึงทำให้แสงไม่สามารถส่งผ่านไปได้ แต่จะถูกสะท้อนออกมา ซึ่งข้อเสียของครีมกันแดดชนิดนี้ ก็คือ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ทาขาววอกจนเกินไป และในบางครั้งก็ก่อให้เกิดคราบขาวเวลาเหงื่อออกอีกด้วย
  3. Tanning Sunscreen : เป็นครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวคล้ำขึ้น โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ในผู้ที่มีผิวขาวที่ต้องการมีผิวสีน้ำตาลแทนอย่างปลอดภัย

กลเม็ดเด็ดวิธีการเลือกใช้ครีมกันแดด

  1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00-15.00 น.
  2. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA และ UVB
  3. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ในชีวิตประจำวัน และ SPF 30++ ในวันที่ต้องประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง
  4. เลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำสำหรับกิจกรรมบางชนิด เช่น ว่ายน้ำ พายเรือ โปโลน้ำ โดยสังเกตจากบรรจุภัณฑ์ซึ่งจะมีคำว่า Waterproof ระบุไว้
  5. ฉีดหรือพ่นผลิตภัณฑ์กันแดดประเภทสเปรย์ซ้ำทุก 30 นาที เนื่องจาก ผลิตภัณฑ์กันแดดประเภทนี้นั้น สามารถล้างออกได้ง่ายดายด้วยน้ำ และมีประสิทธิภาพความคงทนบนผิวหนังน้อยกว่าชนิดครีมและโลชั่น
  6. ทาครีมกันแดดในปริมาณที่หนาเพียงพอที่จะปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต และอย่าลืมทาในบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาได้ง่าย เช่น จมูกและท้ายทอย
  7. ทาครีมกันแดดอย่างน้อย 20-30 นาที ก่อนออกแดด และควรทาซ้ำทุก ๆ 90 นาทีหรือ 2 ชั่วโมง เมื่อต้องการประกอบกิจกรรมกลางแจ้งอย่างต่อเนื่อง
  8. อ่านฉลากที่ติดอยู่กับบรรจุภัณฑ์ให้ละเอียด ถึงวิธีการใช้และส่วนประกอบของครีมกันแดดนั้น ๆ
  9. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีสารป้องกัน UVA ได้ดีอย่างน้อย 2 ชนิด ได้แก่ XL Tinosorb M, S Oxybenzone Parsol 1789 TiO2, ZnO Mexoryl SX เป็นต้น


นวพร เอี่ยมธีระกุล
สอบถามครีมกันแดดเพิ่มเติม 0816518088
Email : yanincosmetic@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น