วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ผิวคุณจัดอยู่ในประเภทใด

ผิวคุณจัดอยู่ในประเภทใด

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผิวพรรณทั่วร่างกายมีพื้นที่เฉลี่ย ๑.๖-๑.๘ ตร.ม. ผิวหน้าจัดเป็นผิวที่อ่อนบางกว่าบริเวณอื่น โดยที่ผิวบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้าจะหนาที่สุด คือ หนาประมาณ ๒-๔ มิลลิเมตร และสำหรับส่วนผิวที่บอบบางที่สุด คือ ผิวบริเวณริมฝีปาก และผิวบริเวณรอบดวงตา ซึ่งหนาเพียง ๐.๒-๐.๖ มิลลิเมตร

ผิวหนังเป็นส่วนที่ปกคลุมห่อหุ้มอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ของร่างกายไว้เป็นอย่างดี ผิวหนังเปรียบเสมือนหน้าต่างที่จะเผชิญอันตรายต่าง ๆ จากภายนอก เช่น ความร้อน ความเย็น แสงแดด มลภาวะ การทำร้ายด้วยอาวุธต่าง ๆ ผิวหนังเป็นส่วนที่จะได้รับอันตรายก่อนอวัยวะอื่นใด

ซึ่งผิวหนังนั้น เป็นแหล่งกำเนิดของขนและเส้นผมที่อยู่ชิดกับต่อมไขมัน สำหรับปริมาณขนมีมากน้อยแตกต่างกัน เช่น ใบหน้ามีขนน้อยที่สุด และจะเป็นขนอ่อน แต่รักแร้จะมีขนจำนวนมากและเป็นที่อยู่ของต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อต่าง ๆ

ดังนั้น โดยสรุปแล้วหน้าที่โดยทั่วไปของขน คือ ปกคลุมร่างกาย ป้องกันอันตราย รับความรู้สึก  ควบคุมอุณหภูมิของร่ายกายโดยปรับควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายให้มีความสมดุล เป็นแหล่งสร้างวิตามินดี สำหรับไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังก็ใช้เป็นพลังงานสำรองในภาวะที่ร่างกายเกิดการขาดแคลนพลังงาน

ผิวหนังสามารถแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ หนังกำพร้า (epidermis) อยู่ชั้นนอกสุด ชั้นนี้จะมีการผลัดเซลล์เก่าไปทุก 28 วัน หนังแท้ (dermis) ซึ่งอยู่ถัดเข้ามา เป็นที่อยู่ของเส้นใยคอลลาเจน

  • เส้นใยอีลาสติน เป็นตัวก่อให้เกิดความยืดหยุ่น เป็นที่อยู่ของหลดเลือด หลอดน้ำเหลือง เส้นประสาท รากผม ขน ต่อมไขมัน
  • ต่อมไขมัน ทำหน้าที่หลั่งไขมันเพื่อหล่อลื่น และปกคลุมผิวหนังให้ชุ่มชื้น
  • ต่อมเหงื่อ (eccrine gland) มีลักษณะเป็นท่อรูปเกลียวมาเปิดบริเวณชั้นหนังกำพร้า ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและขับน้ำที่เกินความจำเป็นออกจากร่างกาย การระบายของเหงื่อทำให้รู้สึกเย็นสบาย
  • ต่อมกลิ่น (apocrine gland) พบมากบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ รูทวาร จะมีกลิ่นลักษณะจำเพาะ บางครั้งอาจถูกเชื้อแบคทีเรียบนผิวผสมทำปฏิกิริยาทำให้เกิด “กลิ่นเต่า” นั่นเอง

สำหรับชั้นสุดท้าย คือ ชั้นรองรับผิวหนัง ประกอบด้วยเยื่อไขมัน (adipose tissue) ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในจากการถูกกระทบกระแทก เป็นที่สะสมไขมันของร่างกาย

ดังนั้น จะเห็นว่า ผิวหนังมีความสำคัญมากต่อร่างกาย เพราะถ้าร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงได้รับอาหารครบทั้ง ๕ หมู่ นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ ๗-๘ ชั่วโมง มีสุขภาพจิตดี ไม่เครียด ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์วันละ ๑.๕-๒ ลิตร/วัน จะมีการแสดงออกทางผิวหนังที่แข็งแรง สวยงาม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพและความงามได้ในแต่ละบุคคล และถ้าอยากจะดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธีและถูกต้อง ต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักประเภทขอผิวคุณก่อน จากนั้น ก็เลือกสรรหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่สภาพผิว เพราะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวพรรณแต่ละประเภท จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามที่คุณต้องการ

ลักษณะผิวแต่ละประเภท

  1. ผิวธรรมดา รูขุมขนขนาดกลางมักไม่ค่อยมีปัญหาใด ๆ หลังล้างหน้าอาจมีความรู้สึกตึงบริเวณผิวแก้มบ้าง สภาพผิวทั่วไปดี ถ้าต้องการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้ประเภทที่มีเนื้อครีมไม่มันมากเกินไป
  2. ผิวมัน ลักษณะรูขุมขนใหญ่เห็นชัด มีโอกาเกิดสิวได้ง่าย หลังจากล้างหน้าเพียง 1 ชั่วโมง จะรู้สึกว่ามีน้ำมันเคลือบบาง ๆ ทั่วผิวหน้า สร้างความกังวลให้ต้องคอยซับอยู่เสมอ ทำให้รู้สึกว่าต้องล้างหน้าบ่อย ๆ
  3. ผิวผสม ลักษณะรูขุมขนค่อนข้างใหญ่ อาจมีสิวบริเวณ “ทีโซน” (T-zone) คือ ผิวช่วงหน้าผาก จมูก และคาง อาจใช้โลชั่นเช็ดหน้าเพื่อลดความมัน และใช้ครีมที่ให้การบำรุงผิวเป็นพิเศษบริเวณแก้ม
  4. ผิวแห้ง เป็นผิวที่มีรูขุมขนขนาดเล็ก แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่าย และมักรู้สึกแห้งตึง ระคายเคือง หลังล้างหน้าต้องบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน รวมทั้งหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เนื่องจาก ผิวพวกนี้จะเป็นผิวบอบบางแพ้ง่าย และเมื่อเกิดอาการแพ้ จะพบลักษณะเป็นผื่นแดง เป็นขุย ร่วมกับมีอาการคัน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า สภาพผิวประเภทนี้ จะเกิดขึ้นจากชั้นไขมันปกป้องผิว ซึ่งได้ปกคลุมอยู่บนผิวชั้นหนังกำพร้ามีปริมาณน้อย โดยปกติชั้นไขมันจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว และปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ รวมไปถึงอุณหภูมิ ไม่ว่าจะหนาวจัดหรือร้อนจัด เมื่อชั้นไขมันทำหน้าที่จะทำให้ผิวเปราะบาง และก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อสารชนิดต่าง ๆ ได้ง่าย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ทำความสะอาดที่มีความเข้มข้นสูง ควรเปลี่ยนสบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและควรปกป้องผิวที่บอบบางของคุณจากมลภาวะภายนอก

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมีผิวประเภทไน สไตส์การใช้ชีวิตของคุณและมลภาวะต่าง ๆ รอบตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญหาผิวมีริ้วรอยก่อนวัย และทำให้ผิวบอบบางแพ้ง่าย ดังนั้น คุณควรลองสังเกตดูว่ารอบ ๆ ตัวคุณมีสิ่งใดบ้าง ที่อาจเป็นปัจจัยในการทำลายผิว บางทีผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ อาจหมายถึง สภาพผิวที่สวยน่ามองยิ่งขึ้นของคุณก็เป็นได้นะค่ะ

โดยสรุปแล้ว สามารถสรุปพื้นฐานสำคัญของผิวสวยดูอ่อนกว่าวัย ได้ดังนี้

  1. การทานอาหารประเภท ผัก ผลไม้ ให้มาก
  2. พยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด
  3. อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และมลภาวะเป็นพิษต่าง ๆ
  4. ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
  5. ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน (หรือประมาณ ๑.๕ ลิตร - ๒ ลิตรต่อวันเป็นอย่างน้อย)
  6. พักผ่อนด้วยการนอนหลับให้สนิทอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนอนหลับให้ได้วันละ ๘ ชั่วโมง และนอนหลับให้สนิทเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อชีวิตและผิวพรรณของคุณ เชื่อว่า การนอนหลับสนิทจะสามารถทำให้ฮอร์โมนเกิดความสมดุล ซึ่งจะเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีผิวพรรณสดใสมีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานตลอดทั้งวัน


ที่มา : ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

ปัญหาการใช้สารจากธรรมชาติ

ปัญหาการใช้สารจากธรรมชาติ

ปัญหาการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีดังนี้


  1. สารสกัดจากธรรมชาติสลายตัวง่าย มีประสิทธิภาพในการใช้ระยะสั้น
  2. สารสกัดจากธรรมชาติมักมีสารสำคัญปนกันหลายชนิด โดยที่บางครั้งแยกสกัดสารเดี่ยวบริสุทธิ์ออกมาได้ บางครั้งแยกออกจากกันลำบาก หรือบางครั้งมีสารสำคัญที่ไม่ต้องการปนมา ซึ่งแยกออกลำบาก อาจทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์กันก็ได้ ต้องทำการวิจัยทางคลินิกก่อนนำมาใช้จริง ๆ
  3. สารสกัดจากธรรมชาติบางชนิดมีสารสำคัญที่ต้องการในปริมาณต่ำ ทำให้ไม่คุ้มในการแยกสกัดออก เพราะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
  4. ปริมาณส่วนประกอบของสารสำคัญในสารสกัดจากธรรมชาติมักไม่คงที่แน่นอน เพราะได้จากธรรมชาติ ความเข้มข้นหรือปริมาณอาจแปรผันได้ เช่น จากแหล่งกำเนิดต่างกัน จากพันธุ์ต่างกัน จากอายุต่างกัน จากสภาพการเก็บ (อุณหภูมิ) ต่างกัน เป็นต้น ทำให้อาจเกิดปัญหาในการควบคุมปริมาณและคุณภาพให้คงที่
  5. สารสกัดจากธรรมชาติโดยเฉพาะที่มีส่วนประกอบเป็นโปรตีน อาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่าย
  6. สารสกัดจากธรรมชาติบางชนิดมีกลิ่นไม่พึงปรารถนา ซึ่งกลบได้ยาก ทำให้ความนิยมในการใช้ลดลง
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสมสารจากธรรมชาติมักมีราคาแพง

สอบถามผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสารสกัดจากธรรมชาติเพิ่มเติม 0816518088
Website : http://yanincosmetic.com
Website : http://yanin-cosmetic.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพเท้าด้วยตัวเอง

วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพเท้าด้วยตัวเอง

คำแนะนำง่าย ๆ ในการดูแลสุขภาพเท้าของคุณหมอสุมนัส และได้ย้ำวาควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
  1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 10 นาที เวลาอาบน้ำทุก ๆ วัน ซึ่งจะทำให้ผิวหนังที่เท้านุ่ม แต่อย่าขัด ถู หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง
  2.  เช็ดเท้าให้แห้งสนิททุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าต้องให้แห้งจริงๆ
  3. สำหรับผู้มีกลิ่นเท้า หลังจากล้างเท้าสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้ว ควรจะโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้า และซอกนิ้วเท้า รวมถึงอย่าใส่รองเท้าคับเกินไป ควรเลือกรองเท้าที่ใส่สบาย และระบายอากาศได้ ถุงเท้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย เพราะจะระบายอากาศได้ดีกว่าถุงเท้าไนลอน
  4. ถ้าผิวแห้ง ควรทาครีมบำรุงผิวชนิดที่ไม่มีน้ำหอมฉุนเพื่อให้ความชุ่มชื้น โดยทาบาง ๆ ให้ทั่วทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า ห้ามทาครีมบำรุงผิวบริเวณซอกนิ้วเท้า เพราะอาจเกิดการหมักหมมของเชื้อราได้
  5.  ถ้าเล็บยาวต้องตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี โดยตัดตรงตามแนวของเล็บเท่านั้น ไม่ตัดเล็บตรงตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ไม่ตัดเล็บเซาะเข้าไปด้านข้างหรือจมูกเล็บ และไม่ควรตัดเล็บสั้นเกินไป
  6. ใส่รองเท้าให้เหมาะกับโรค ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ เช่น ผู้ป่วยเบาหวานควรใส่รองเท้าที่ทำจากวัสดุที่มีลักษณะนิ่ม และมีแผ่นรองรับแรงกระแทกที่ฝ่าเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าแตะชนิดที่มีสายรัดง่ามนิ้วเท้า
  7. หมั่นตรวจเท้าด้วยตนเองเป็นประจำ สังเกตสีผิว กลิ่นเท้า อุณหภูมิของเท้า และอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดเท้า มีอาการชา บวม มีเม็ดพองหรือคัน เป็นต้น โดยตรวจให้ทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า ซอกนิ้วเท้า และเล็บเท้า หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
  8. ออกกำลังกายเท้า เพื่อบริหารข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า ท่าบริหารทำได้โดย

    •      กระดกข้อเท้าขึ้นและลงสลับกันช้า ๆ ทำ 5-10 ครั้ง แล้วจึงสลับข้าง
    •      หมุนข้อเท้า โดยหมุนเข้าและหมุนออกช้า ๆ ทำอย่างละ 5-10 ครั้ง แล้วจึงสลับข้าง
    •      ใช้นิ้วเท้าจิกผ้าที่วางอยู่บนพื้นสลับกับปล่อย เพื่อบริหารกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ในเท้า
    •      นั่งบนเก้าอี้ โน้มตัวไปข้าหงน้าเหยียดเข่าตึง แล้วกระดกข้อเท้าขึ้น ใช้มือจับปลายเท้าค้างไว้ นับ 1-6 ถือเป็น 1 ครั้ง ทำจนครบ 10 ครั้ง สลับทำอีกข้างหนึ่ง

ทีนี้ไม่ว่าจะแดดแรงจ้าหรือฝนตกกระหน่ำเพียงใด เท้าคู่สวยของคุณก็พร้อมลุยอย่างมั่นใจแล้วค่ะ  

ภาพจากอินเตอร์เน็ต
Website : http://yanincosmetic.com  

                      

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

สิวบอกโรค

สิวบอกโรค

หลายคนอาจคิดว่า “สิว” นั้น เป็นอุปสรรคของความงาม ปัญหาของผิวหน้า หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว “สิว” ยังสามารถบ่งบอกการเสียสมดุลของอวัยวะภายในร่างกายอีกด้วย วันนี้ จึงขออธิบายถึงบริเวณที่เกิดสิวกับอาการผิดปกติของร่างกาย พร้อมกับข้อแนะนำที่จะสามารถนำไปปฏิบัติตัวได้เลย

  • สิวที่บริเวณหน้าผาก 

    • เกิดขึ้นจากปริมาณพิษในตับที่ค่อนข้างมาก ความเครียดสูง ม้ามพร่อง ไฟในหัวใจมีมากเกินไป บางครั้งท้องผูกบ่อย ๆ ก็ทำให้สิวขึ้นบริเวณนี้ได้เช่นกัน 
    • สำหรับข้อแนะนำ : ไม่ควรนอนดึก ดื่มน้ำมาก ๆ ให้ตับทำงานตามเวลา เพราะตับจะขับพิษในช่วงเวลากลางคืน หรือหาวิธีปลดปล่อยความเครียดของตัวเอง เช่น การออกกำลังกายเพื่อให้เหงื่อออก เป็นต้น

  • สิวรอบปาก 

    • สิวบริเวณรอบปากมาจากอาการท้องผูก ลำไส้ร่อนรวมถึงภาวะร้อนชื้นที่เกิดในร่างกาย ทานอาหารรสเผ็ดร้อนเกินไปหรือของทอดของมัน ก็อาจจะทำให้เกิดสิวบริเวณรอบปากได้เช่นกัน 
    • สำหรับข้อแนะนำ : คนที่มีสิวรอบปากเยอะควรที่จะทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูง เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการทาน สามารถนวดท้องวนตามเข็มนาฬิกาเพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่าย การขับถ่ายจะช่วยนำพาความร้อนออกจากร่างกายได้อีกทาง

  • สิวบริเวณแก้ม 

    • มีสาเหตุมาจากระบบการขับของเสียในเลือดกับการทำงานของตับ ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร หรืออาจจะมาจากระบบปอดมีปัญหา โดยส่วนใหญ่แลวจะเกิดจากปอดร้อนซะมากกว่า ซึ่งอาจจะมีอาการผิวคันร่วมด้วย 
    • สำหรับข้อแนะนำ : ควรใช้น้ำเย็นล้างหน้า ทานอาหารหรือผลไม้ที่มีรสเย็น เช่น สาลี่ เพราะสาลี่จะช่วยลดความร้อนในปอด ทำให้ปอดชุ่มชื้น และยังแก้ไอได้อีกด้วย พยายามรักษาสมดุลของอารมณ์ตัวเอง มั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นตลอดเวลา

  • สิวที่ขึ้นบริเวณคาง 

    • โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเสียสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลง สำหรับคุณผู้หญิงการเป็นสิวที่คางบ่อย อาจจะมีโรคที่เกี่ยวกับรังไข่ได้เช่นกัน 
    • สำหรับข้อแนะนำ : พยายามลดการดื่มน้ำเย็น หันมาดื่มน้ำอุ่นแทน ลองรับประทานผลไม้จำพวกเชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เพราะผลไม้พวกนี้จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนให้คุณผู้หญิง หรือทานน้ำเต้าหู้ทุกวันก็ได้ เพราะน้ำเต้าหู้มีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่จำนวนมาก ซึ่งทำให้หน้าขาวใส ไร้รอยสิว หากเป็นมานานอาจจะต้องหันมาทานยาปรับฮอร์โมน

  • สิวบริเวณจมูก 

    • อาจมีผลมาจากกระเพาะอาหารร้อนเกินไป หรือระบบย่อยอาหารไม่ดี โดยทั่วไปทำให้สิวที่เกิดบนจมูกส่วนใหญ่จะเป็นสิวเสี้ยนหรือสิวหัวช้าง 
    • สำหรับข้อแนะนำ : ควรเคี้ยวข้าวให้ละเอียดทุกครั้งก่อนกลืน เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักกว่าปกติ ทำให้อาหารไม่ย่อย กระเพาะอาหารและลำไส้จะเกิดความร้อนสูง ทำให้เกิดสิวได้ง่าย ควรรับประทานผักหรือผลไม้ที่มีรสเย็น เช่น มะระ แตงโม ฟักเขียว เป็นต้น เพื่อลดความร้อนในกระเพาะ ไม่เป็นบ่อเกิดของสิวได้

หากพบว่า ตัวเองเป็นสิวตามตำแหน่งที่ได้กล่าวมาแล้ว ลองเอาข้อแนะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน อาจจะช่วยดูแลได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุของสิวตามหลักแพทย์จีน ทำให้เรารู้ว่า นิยามของ “ความงามจากภายใน” คืออะไร นั่นก็คือ สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์แจ่มใส และร่างกายที่สมดุล เพียงเท่านี้สิวก็ไม่อาจมาแผ้วพานได้แล้ว


ที่มา : คลินิคหัวเฉียวแพทย์จีน
ภาพจากอินเตอร์เน็ต