ผิวคุณจัดอยู่ในประเภทใด
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า
ผิวพรรณทั่วร่างกายมีพื้นที่เฉลี่ย ๑.๖-๑.๘ ตร.ม. ผิวหน้าจัดเป็นผิวที่อ่อนบางกว่าบริเวณอื่น
โดยที่ผิวบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้าจะหนาที่สุด คือ หนาประมาณ ๒-๔ มิลลิเมตร และสำหรับส่วนผิวที่บอบบางที่สุด
คือ ผิวบริเวณริมฝีปาก และผิวบริเวณรอบดวงตา ซึ่งหนาเพียง ๐.๒-๐.๖ มิลลิเมตร
ผิวหนังเป็นส่วนที่ปกคลุมห่อหุ้มอวัยวะสำคัญต่าง
ๆ ของร่างกายไว้เป็นอย่างดี ผิวหนังเปรียบเสมือนหน้าต่างที่จะเผชิญอันตรายต่าง ๆ
จากภายนอก เช่น ความร้อน ความเย็น แสงแดด มลภาวะ การทำร้ายด้วยอาวุธต่าง ๆ
ผิวหนังเป็นส่วนที่จะได้รับอันตรายก่อนอวัยวะอื่นใด
ซึ่งผิวหนังนั้น เป็นแหล่งกำเนิดของขนและเส้นผมที่อยู่ชิดกับต่อมไขมัน
สำหรับปริมาณขนมีมากน้อยแตกต่างกัน เช่น ใบหน้ามีขนน้อยที่สุด และจะเป็นขนอ่อน
แต่รักแร้จะมีขนจำนวนมากและเป็นที่อยู่ของต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อต่าง ๆ
ดังนั้น โดยสรุปแล้วหน้าที่โดยทั่วไปของขน คือ
ปกคลุมร่างกาย ป้องกันอันตราย รับความรู้สึก
ควบคุมอุณหภูมิของร่ายกายโดยปรับควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายให้มีความสมดุล
เป็นแหล่งสร้างวิตามินดี
สำหรับไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังก็ใช้เป็นพลังงานสำรองในภาวะที่ร่างกายเกิดการขาดแคลนพลังงาน
ผิวหนังสามารถแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ หนังกำพร้า (epidermis)
อยู่ชั้นนอกสุด ชั้นนี้จะมีการผลัดเซลล์เก่าไปทุก 28 วัน หนังแท้ (dermis)
ซึ่งอยู่ถัดเข้ามา เป็นที่อยู่ของเส้นใยคอลลาเจน
- เส้นใยอีลาสติน เป็นตัวก่อให้เกิดความยืดหยุ่น
เป็นที่อยู่ของหลดเลือด หลอดน้ำเหลือง เส้นประสาท รากผม ขน ต่อมไขมัน
- ต่อมไขมัน ทำหน้าที่หลั่งไขมันเพื่อหล่อลื่น
และปกคลุมผิวหนังให้ชุ่มชื้น
- ต่อมเหงื่อ (eccrine gland) มีลักษณะเป็นท่อรูปเกลียวมาเปิดบริเวณชั้นหนังกำพร้า
ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและขับน้ำที่เกินความจำเป็นออกจากร่างกาย
การระบายของเหงื่อทำให้รู้สึกเย็นสบาย
- ต่อมกลิ่น (apocrine gland) พบมากบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ รูทวาร จะมีกลิ่นลักษณะจำเพาะ
บางครั้งอาจถูกเชื้อแบคทีเรียบนผิวผสมทำปฏิกิริยาทำให้เกิด “กลิ่นเต่า” นั่นเอง
สำหรับชั้นสุดท้าย คือ ชั้นรองรับผิวหนัง
ประกอบด้วยเยื่อไขมัน (adipose tissue) ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในจากการถูกกระทบกระแทก
เป็นที่สะสมไขมันของร่างกาย
ดังนั้น จะเห็นว่า
ผิวหนังมีความสำคัญมากต่อร่างกาย
เพราะถ้าร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงได้รับอาหารครบทั้ง ๕ หมู่
นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ ๗-๘ ชั่วโมง มีสุขภาพจิตดี ไม่เครียด
ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์วันละ ๑.๕-๒ ลิตร/วัน จะมีการแสดงออกทางผิวหนังที่แข็งแรง
สวยงาม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพและความงามได้ในแต่ละบุคคล
และถ้าอยากจะดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธีและถูกต้อง
ต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักประเภทขอผิวคุณก่อน จากนั้น
ก็เลือกสรรหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่สภาพผิว เพราะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวพรรณแต่ละประเภท
จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามที่คุณต้องการ
ลักษณะผิวแต่ละประเภท
- ผิวธรรมดา
รูขุมขนขนาดกลางมักไม่ค่อยมีปัญหาใด ๆ
หลังล้างหน้าอาจมีความรู้สึกตึงบริเวณผิวแก้มบ้าง สภาพผิวทั่วไปดี
ถ้าต้องการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้ประเภทที่มีเนื้อครีมไม่มันมากเกินไป
- ผิวมัน ลักษณะรูขุมขนใหญ่เห็นชัด
มีโอกาเกิดสิวได้ง่าย หลังจากล้างหน้าเพียง 1 ชั่วโมง
จะรู้สึกว่ามีน้ำมันเคลือบบาง ๆ ทั่วผิวหน้า สร้างความกังวลให้ต้องคอยซับอยู่เสมอ
ทำให้รู้สึกว่าต้องล้างหน้าบ่อย ๆ
- ผิวผสม ลักษณะรูขุมขนค่อนข้างใหญ่
อาจมีสิวบริเวณ “ทีโซน” (T-zone) คือ ผิวช่วงหน้าผาก
จมูก และคาง อาจใช้โลชั่นเช็ดหน้าเพื่อลดความมัน
และใช้ครีมที่ให้การบำรุงผิวเป็นพิเศษบริเวณแก้ม
- ผิวแห้ง เป็นผิวที่มีรูขุมขนขนาดเล็ก
แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่าย และมักรู้สึกแห้งตึง ระคายเคือง
หลังล้างหน้าต้องบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ
เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า
ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน
รวมทั้งหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เนื่องจาก
ผิวพวกนี้จะเป็นผิวบอบบางแพ้ง่าย และเมื่อเกิดอาการแพ้ จะพบลักษณะเป็นผื่นแดง
เป็นขุย ร่วมกับมีอาการคัน
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า สภาพผิวประเภทนี้ จะเกิดขึ้นจากชั้นไขมันปกป้องผิว
ซึ่งได้ปกคลุมอยู่บนผิวชั้นหนังกำพร้ามีปริมาณน้อย
โดยปกติชั้นไขมันจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว และปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ
รวมไปถึงอุณหภูมิ ไม่ว่าจะหนาวจัดหรือร้อนจัด
เมื่อชั้นไขมันทำหน้าที่จะทำให้ผิวเปราะบาง และก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อสารชนิดต่าง ๆ
ได้ง่าย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ทำความสะอาดที่มีความเข้มข้นสูง
ควรเปลี่ยนสบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและควรปกป้องผิวที่บอบบางของคุณจากมลภาวะภายนอก
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมีผิวประเภทไน
สไตส์การใช้ชีวิตของคุณและมลภาวะต่าง ๆ
รอบตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญหาผิวมีริ้วรอยก่อนวัย
และทำให้ผิวบอบบางแพ้ง่าย ดังนั้น คุณควรลองสังเกตดูว่ารอบ ๆ ตัวคุณมีสิ่งใดบ้าง
ที่อาจเป็นปัจจัยในการทำลายผิว บางทีผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ อาจหมายถึง
สภาพผิวที่สวยน่ามองยิ่งขึ้นของคุณก็เป็นได้นะค่ะ
โดยสรุปแล้ว สามารถสรุปพื้นฐานสำคัญของผิวสวยดูอ่อนกว่าวัย
ได้ดังนี้
- การทานอาหารประเภท ผัก ผลไม้ ให้มาก
- พยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด
- อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์
หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และมลภาวะเป็นพิษต่าง ๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
- ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน (หรือประมาณ ๑.๕ ลิตร - ๒ ลิตรต่อวันเป็นอย่างน้อย)
- พักผ่อนด้วยการนอนหลับให้สนิทอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะนอนหลับให้ได้วันละ ๘ ชั่วโมง
และนอนหลับให้สนิทเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อชีวิตและผิวพรรณของคุณ เชื่อว่า
การนอนหลับสนิทจะสามารถทำให้ฮอร์โมนเกิดความสมดุล
ซึ่งจะเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีผิวพรรณสดใสมีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานตลอดทั้งวัน
ที่มา : ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์
นรารัตน์วันชัย